Leadership

  • จะนำทีมยังไง.. ถ้าคนในทีมไม่ค่อยพูด?

    เคยเป็นไหมคะ? เรียกประชุมทีมทีไร พอถามว่า “มีใครมีไอเดียไหม?”… ห้องก็เงียบสนิท มองไปเห็นแต่สายตาที่หลบลงไปมองจอ หรือแอบจดในสมุด แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา แรก ๆ ลินก็คิดว่า “คงเห็นด้วยกันหมด”  แต่พอเวลาผ่านไปถึงได้รู้ว่า… ความเงียบไม่ได้แปลว่าเห็นด้วย มันอาจหมายถึง “ไม่กล้าพูด” ต่างหาก ช่วงหนึ่ง ลินได้รู้จักแนวคิดที่เปลี่ยนวิธีมองทีมไปเลย นั่นคือ Psychological Safety หรือ “ความปลอดภัยทางจิตวิทยา” คือการสร้างบรรยากาศที่ทำให้ทุกคน กล้าพูด กล้าคิด กล้าลอง และกล้าผิด โดยไม่กลัวว่าจะถูกตำหนิ ถูกดุ หรือถูกมองว่าไม่เก่งพอ ถ้าทีมไม่มีสิ่งนี้ ต่อให้สมาชิกเก่งแค่ไหน เสียงดี ๆ และไอเดียสร้างสรรค์ก็จะถูกเก็บเงียบไว้ในใจ ผลลัพธ์คือทีมจะทำงานแค่ “ตามคำสั่ง” ไม่ได้ “สร้างสิ่งใหม่” แล้วเราจะสร้างสิ่งนี้ในทีมได้ยังไง? ลินใช้หลักง่าย ๆ ที่จำได้ขึ้นใจ คือ 3E 💛 Embrace – เปิดรับความต่าง  จากที่เคยมองว่า “ความคิดไม่ตรงกันคือปัญหา” ลินกลับมองใหม่ว่า “ความคิดต่างกันคือพลัง”…

  • 🌟3 เทคนิคเพิ่มความมั่นใจ (Self-Esteem) ให้ทีมงาน

    คุณเคยเจอแบบนี้ไหมคะ… ในที่ประชุม คุณเห็นลูกน้องที่มีไอเดียดี แต่ไม่ค่อยกล้าพูด  พอถามก็ตอบว่า “กลัวพูดแล้วไม่ดี” หรือ “ไม่มั่นใจว่าความคิดตัวเองถูกหรือเปล่า”  บางคนเก่ง ทำงานละเอียด แต่พอเจอสถานการณ์ใหม่ก็ถอย เพราะกลัวทำพลาด กลัวโดนตำหนิ  หรือคนที่เคยมั่นใจ แต่พอเจอคำวิจารณ์แรง ๆ ครั้งเดียวก็ไม่กล้าเสนออะไรอีกเลย 😔 ปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจาก “ขาดทักษะ” เสมอไป  แต่เพราะขาด ความมั่นใจในตัวเอง (Self-Esteem)  ข่าวดีคือ…”ความมั่นใจสร้างได้” และหัวหน้ามีบทบาทสำคัญมาก ที่จะช่วยจุดประกายให้ทีม “เชื่อในคุณค่าของตัวเอง”  วันนี้ลินนำ 3 เทคนิคเพิ่มความมั่นใจ (Self-Esteem) ให้ทีมงาน มาฝากกันค่ะ 1. ให้ Feedback ที่ชัดและชี้จุดแข็ง (Spot & Speak Strengths) คำชมทั่วไปอย่าง “โอเคแล้ว” หรือ “ดีมาก” อาจทำให้เขารู้สึกดีชั่วคราว แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเก่งตรงไหน ลองชมแบบเจาะจง เช่น “ไอเดียที่คุณนำเสนอน่าสนใจมาก เพราะมองปัญหาจากมุมที่หลายคนไม่คิดถึง”  “การเสนอข้อมูลของคุณทำให้ทีมเข้าใจภาพรวมได้เร็วขึ้นมาก”  การระบุจุดแข็งแบบนี้ไม่เพียงทำให้เขารู้ว่าตัวเองมีคุณค่า…

  • บทบาทของผู้นำในยุค AI เป็นอย่างไร: Leadership in the age of AI

    คุณเคยรู้สึกไหมคะว่า… เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วเกินกว่าที่เราจะตั้งตัวทัน? ลูกค้าก็เปลี่ยนพฤติกรรมไวเกินคาด คู่แข่งก็พร้อมจะแซงหน้าได้ทุกเมื่อ… แล้วเราจะพาทีมเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจได้ยังไง? คำตอบเริ่มต้นที่ “บทบาทของผู้นำในยุค AI” ค่ะ 🌟 1. จุดไฟการเปลี่ยนแปลง มากกว่ารอคำตอบสำเร็จรูป AI เก่งแค่ไหน…ก็ยังคิดแทนเราไม่ได้ค่ะ โดยเฉพาะการ ตั้งคำถามใหม่ ๆ หรือการ สร้างแรงบันดาลใจให้ทีมลุกขึ้นทำสิ่งที่ไม่เคยลอง ผู้นำยุคนี้ต้องไม่รอให้ระบบหรือคู่แข่งชี้ทาง แต่ต้องเป็นคนที่ ✅ กล้าชวนทีมคิดสิ่งใหม่ ✅ กล้าลองแม้ยังไม่แน่ใจในคำตอบ ✅ กล้าผลักดันวัฒนธรรมการทดลองและเรียนรู้ 2. สร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้ทีมกล้าลองและกล้าล้ม องค์กรจะเปลี่ยนไม่ได้เลย…ถ้าคนในทีมยัง “กลัวที่จะลอง” บทบาทสำคัญของผู้นำยุค AI คือการ ✅ เปิดใจรับความไม่แน่นอน ✅ สร้าง Psychological Safety ให้คนกล้าคิด ลอง ล้ม แล้วลุกขึ้นใหม่ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง…ไม่ได้เกิดจากนโยบายบนกระดาษ แต่เกิดจากทีมที่ “เชื่อมั่นและรู้สึกเป็นเจ้าของอนาคตของตัวเอง” ค่ะ 3. Lean & Lead ไปพร้อมกัน…

  • จากเป้าหมายสู่ผลลัพธ์: เทคนิคที่ทำให้กลยุทธ์เกิดขึ้นได้จริง

    คุณเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไหมคะ? แผนกลยุทธ์ดูดีมาก วางสไลด์แน่น ปลุกใจทีมกันสุดพลัง… แต่พอเวลาผ่านไป ผลลัพธ์กลับไม่ชัดเท่าที่ตั้งใจไว้ ในยุคที่ธุรกิจเปลี่ยนเร็วและซับซ้อนแบบนี้ การเป็น “ผู้จัดการงานเก่ง” หรือ “ผู้สั่งการเฉียบ” อาจไม่พอ องค์กรยุคใหม่ต้องการ “ผู้นำ” ที่ไม่ได้แค่คิดเป็นระบบ แต่ต้อง เชื่อมโยงแผนกับผลลัพธ์ได้จริง นี่แหละค่ะ คือบทบาทของ “Strategic Result Oriented Leader” หรือ “ผู้นำที่คิดเชิงกลยุทธ์ และทำให้เกิดผลลัพธ์จริง” 5 ขั้นตอนของการเป็นผู้นำที่คิดเป็นกลยุทธ์ และทำให้เกิดจริง 1. นิยามเป้าหมายให้ชัด (Define Ultimate Strategic Goal) ไม่ใช่แค่ตั้งเป้ายอดขายหรือกำไร แต่ต้องตอบให้ได้ว่า “องค์กรเราต้องการสร้างคุณค่าอะไร?” เป้าหมายต้อง มีความหมาย และ ชี้ทิศทาง ที่ชัดเจน 2. แยกเป้าใหญ่ให้วัดผลได้ (Key Points of Success) เมื่อรู้เป้าหมายแล้ว ต้องแยกออกมาเป็น “องค์ประกอบแห่งความสำเร็จ” และกำหนดตัวชี้วัดที่ จับต้องได้จริง ไม่ใช่แค่ทำไปแล้วหวังว่าจะดี 3. วิเคราะห์ความท้าทายรอบด้าน…

  • นิ่งก่อนนำ: ภาวะผู้นำที่แท้จริง เริ่มที่การบริหารจากภายใน

    หลายคนเชื่อว่าการเป็นผู้นำที่ดี คือการขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจแม่นยำ วางกลยุทธ์เฉียบคม และสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แต่เบื้องหลังผู้นำที่ยิ่งใหญ่หลายคนกลับค้นพบว่า “ความนิ่ง” คือจุดเริ่มต้นของ “ภาวะผู้นำ” ก่อนจะบริหารคน บริหารงาน หรือบริหารองค์กร ผู้นำต้องหันกลับมาบริหารสิ่งที่ลึกที่สุด — ตัวเอง 💡 ภาวะผู้นำที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องสมอง บทสัมภาษณ์จาก The Standard: CEO Priorities ที่พูดคุยกับ Fabrice Desmarescaux และ นพมาศ ศิวะกฤษณ์กุล จาก McKinsey & Company ได้ถ่ายทอด “มุมมองใหม่” ของการเป็นผู้นำที่สมบูรณ์ ว่าต้องบูรณาการทั้ง 4 มิติในตัวเอง: Head (สมอง): ความคิดเชิงกลยุทธ์ การวิเคราะห์ Heart (หัวใจ): ความสัมพันธ์ การเชื่อมต่อกับคนรอบตัว Body (ร่างกาย): สุขภาพ พลังงาน ความฟิต Soul (จิตวิญญาณ): ความหมายในสิ่งที่ทำ…

  • 💡 Lean หรือ Innovation — องค์กรยุคใหม่ควรเลือกอะไร ?

    ในยุคที่โลกหมุนเร็ว เทคโนโลยีเปลี่ยนไว องค์กรที่ยังยึดติดกับแนวคิดแบบเดิม ๆ อาจอยู่รอดได้ในระยะสั้น แต่จะ “อยู่เหนือ” คู่แข่งในระยะยาวไม่ได้ หลายองค์กรให้ความสำคัญกับการ Lean ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ ปรับปรุงกระบวนการ แต่กลับมองว่า “ยังไม่ถึงเวลา” สำหรับ Innovation ในความเป็นจริง…  ทั้งสองอย่าง ไม่ใช่ทางเลือก — แต่ต้องเดินไปพร้อมกัน การทำงานให้มีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรรักษาต้นทุน แต่นวัตกรรมต่างหาก ที่จะทำให้ลูกค้าอยากจ่ายมากขึ้น และกลับมาอีกครั้ง “Efficiency buys you time, but innovation buys you the future.” คือแนวคิดที่สะท้อนความจริงว่า องค์กรต้องสร้างอนาคตของตัวเอง ไม่ใช่แค่จัดการกับปัจจุบัน 🔍 นวัตกรรม เริ่มต้นที่ “ความเข้าใจตนเอง” องค์กรจะสร้างสิ่งใหม่ไม่ได้ หากยังไม่เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็น… วัฒนธรรมภายใน ความสามารถของทีม ระบบ กระบวนการ เสียงสะท้อนจากลูกค้า หรือแม้กระทั่งจุดแข็ง จุดอ่อนขององค์กร ทั้งหมดนี้คือข้อมูลสำคัญในการออกแบบแนวทางนวัตกรรมที่ “เหมาะกับตัวเอง”…